วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554
บึงแก่นนคร
มีลักษณะเป็นบึงขนาดใหญ่ ในเนื้อที่ 603 ไร่ ในเขตเทศบาลกลางเมืองขอนแก่น เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ มีถนนเลียบริมน้ำโดยรอบ ได้มีการปรับปรุงพื้นที่บริเวณรอบบึงให้เป็นสวนสุขภาพ ภายในสวนบริเวณรอบๆ มีภาพประติมากรรมรูปต่างๆ ทางเทศบาลได้ทำการปลูกต้นคูนและไม้ดัดไว้อีกมากมาย ทำให้ดูร่มรื่นสวยงาม นอกจากนี้ยังมีสนามเด็กเล่นและร้านอาหารบริการผู้มาพักผ่อน
ทางทิศเหนือ ของบึงแก่นนครเป็นที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์ "เจ้าเพียเมืองแพน" ผู้ก่อตั้งเมืองขอนแก่น
ทางทิศเหนือ ของบึงแก่นนครเป็นที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์ "เจ้าเพียเมืองแพน" ผู้ก่อตั้งเมืองขอนแก่น
อุทยานแห่งชาติภูเวียง
เมื่อพูดถึงอุทยานแห่งชาติภูเวียงนักท่องเที่ยวก็ต้องนึกถึงไดโนเสาร์ ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าบริเวณที่ราบสูงที่อยู่ในเขตประเทศไทยปัจจุบันนั้นจะเคยเป็นบ้านของไดโนเสาร์มาก่อนจนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2519 มีการสำรวจแหล่งแร่ยูเรเนียมในบริเวณอุทยานแห่งชาติภูเวียง ระหว่างการสำรวจนักธรณีวิทยาได้ค้นพบซากกระดูกชิ้นหนึ่งเข้า และเมื่อส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสวิจัยผลปรากฏออกมาว่าเป็นกระดูกหัวเข่าข้างซ้ายของไดโนเสาร์ จากนั้นนักสำรวจก็ได้ทำการขุดค้นกันอย่างจริงจังเรื่อยมากระทั่งปัจจุบันบนยอดภูประตูตีหมา หลุมขุดค้นที่ 1 ได้พบฟอสซิลไดโนเสาร์พันธุ์หนึ่ง มีลำตัวสูงใหญ่ประมาณ 15 เมตร คอยาว หางยาว เป็นพันธุ์กินพืชซึ่งไม่เคยพบที่ใดมาก่อน จึงได้อัญเชิญพระนามของสมเด็จพระเทพฯมาตั้งชื่อไดโนเสาร์พันธุ์นี้เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติว่า "ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่" (Phuwianggosaurus Sirindhornae) และในบริเวณหลุมขุดค้นเดียวกันนั้นเอง นักสำรวจได้พบฟันของไดโนเสาร์ประเภทกินเนื้อปะปนอยู่มากกว่า 10 ซี่ ทำให้สันนิษฐานได้ว่าโซโรพอดตัวนี้อาจเป็นอาหารของเจ้าของฟันเหล่านี้ แต่ในกลุ่มฟันเหล่านั้นมีอยู่หนึ่งซี่ที่มีลักษณะแตกต่างออกไป เมื่อนำไปศึกษาปรากฏว่าฟันชิ้นนี้เป็นลักษณะฟันไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยค้นพบมาก่อนเช่นกัน จึงตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ นายวราวุธ สุธีธร ว่า "ไซแอมโมซอรัส สุธีธรนี่" (Siamosaurus Suteethorni) ผู้สนใจสามารถเดินไปชมได้ หลุมขุดค้นที่ 1 นั้นอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการอุทยาน และยังสามารถเดินไปชมหลุมขุดค้นที่ 2 และ 3 ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงด้วยฟอสซิลของ "ไซแอมโมไทรันนัส อีสานเอ็นซิส" (Siamotyrannus Isanensis) เป็นสิ่งที่ชี้ว่าไดโนเสาร์จำพวกไทรันโนซอร์มีต้นกำเนิดในทวีปเอเชีย เพราะฟอสซิลที่พบที่นี่เป็นชิ้นที่เก่าแก่ที่สุด (120-130 ล้านปี) แต่กระดูกชิ้นนี้ได้นำไปจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในกรมทรัพยากรธรณี กรุงเทพฯบริเวณหินลาดป่าชาด หลุมขุดค้นที่ 8 พบรอยเท้าไดโนเสาร์จำนวน 68 รอย อายุประมาณ 140 ล้านปี เกือบทั้งหมดเป็นรอยเท้าของไดโนเสาร์กินเนื้อพันธุ์เล็กที่สุดในโลกเดิน 2 เท้า แต่หนึ่งในรอยเท้าเหล่านั้นมีขนาดใหญ่ผิดจากรอยอื่น คาดว่าเป็นของคาร์โนซอรัส การไปชมควรเดินทางด้วยรถขับเคลื่อน 4 ล้อใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ห่างจากที่ทำการ 19 กิโลเมตรส่วนฟอสซิลดึกดำบรรพ์อื่นๆที่ขุดพบ เช่น ซากลูกไดโนเสาร์ ซากจระเข้ขนาดเล็ก ซากหอย 150 ล้านปี จะอยู่กระจัดกระจายกันตามหลุมต่างๆความน่าสนใจของที่นี่ไม่ได้มีแต่เพียงไดโนเสาร์เท่านั้น ยังมีการพบร่องรอยอารยธรรมโบราณด้วย โดยพบ "พระพุทธรูปปางไสยาสน์" ประติมากรรมนูนสูงสลักบนหน้าผาของยอดเขาภูเวียง สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 14 ลักษณะท่านอนได้รับอิทธิพลจากอินเดีย พระเศียรหนุนแนบกับต้นแขนขวา แขนซ้ายทอดไปตามลำพระองค์ นอกจากนี้ "ถ้ำฝ่ามือแดง" ที่บ้านหินร่องมีงานศิลปะของมนุษย์ถ้ำโบราณ ลักษณะของภาพเกิดจากการพ่นสีแแดงลงไปในขณะที่มือทาบกับผนังถ้ำก่อให้เกิดเป็นรูปฝ่ามือขึ้นส่วนแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ในบริเวณอุทยานฯจะมีน้ำตกอยู่สองสามแห่ง "น้ำตกทับพญาเสือ" เป็นน้ำตกเล็กๆ ตั้งอยู่ใกล้กับถ้ำฝ่ามือแดง "น้ำตกตาดฟ้า" เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15 เมตร สามารถเข้าถึงได้ทางรถยนต์ อยู่ห่างจากอำเภอภูเวียง 18 กิโลเมตรและขึ้นเขาไปอีก 6 กิโลเมตร ตรงต่อไปจากน้ำตกตาดฟ้าอีก 5 กิโลเมตร จะถึง "น้ำตกตาดกลาง" สูงประมาณ 8 กม. นอกจากน้ำตกก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวประเภททุ่งหญ้าและลานหิน ซึ่งจะมีดอกไม้ป่านานาพันธุ์บานในช่วงหลังฤดูฝน ได้แก่ "ทุ่งใหญ่เสาอาราม" "หินลาดวัวถ้ำกวาง" และ "หินลาดอ่างกบ"พื้นที่อุทยานฯครอบคลุมอำเภอภูเวียง อำเภอสีชมพู และอำเภอชุมแพ มีพื้นที่ 380 ตารางกิโลเมตรการเดินทาง จากตัวเมืองขอนแก่นใช้เส้นทางขอนแก่น-ชุมแพ (ทางหลวงหมายเลข 12) เป็นระยะทาง 48 กิโลเมตร แยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2038 เป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร ถึงอำเภอภูเวียง แล้วใช้เส้นทางภูเวียง-บ้านเมืองใหม่ ไปจนถึงกิโลเมตรที่ 23 จะเป็นบริเวณที่เรียกว่า"ปากช่องภูเวียง" ซึ่งมีหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติภูเวียงตั้งอยู่ เดินทางต่อไปจนถึงกิโลเมตรที่ 30 เลี้ยวซ้ายตรงทางเข้าอ่างเก็บน้ำบ้านโพธิ์ เป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเวียงที่ "ภูประตูตีหมา" ภายในอาคารมีการจัดแสดงนิทรรศการและซากกระดูกส่วนต่างๆ ของไดโนเสาร์ที่ขุดพบบริเวณภูเวียง โดยมีคำอธิบายลักษณะและการเกิดซากต่างๆ เหล่านี้หากประสงค์จะเข้าชมเป็นหมู่คณะ และต้องการเจ้าหน้าที่นำชม ติดต่อได้ที่สำนักงานอุทยานฯ บริเวณภูประตูตีหมา โทร. (043) 249052
ความหมายของเพื่อน
คอยเตือน ยามเพื่อนพลั้ง คอยฟัง ยามเพื่อนขอ
คอยรอ ยามเพื่อนสาย คอยพาย ยามเพื่อนพัก
คอยทัก ยามเพื่อนทุกข์ คอยปลุก ยามเพื่อนท้อ
คอยง้อ ยามเพื่อนงอน คอยสอน ยามเพื่อนผิด
คอยสะกิด ยามเพื่อนเผลอ คอยเจอ ยามเพื่อนหา
คอยลา ยามเพื่อนกลับ คอยปรับ ยามเพื่อนเปลี่ยน
คอยเรียน ยามเพื่อนเที่ยว คอยเคี่ยว ยามเพื่อนเล่น
คอยเย็น ยามเพื่อนร้อน คอยหอน ยามเพื่อนเห่า
คอยเฝ้า ยามเพื่อนฟุบ คอยอุบ ยามเพื่อนปิด
คอยคิด ยามเพื่อนถาม คอยปราม ยามเพื่อนหลง
คอยปลง ยามเพื่อนแกล้ง คอยแบ่ง ยามเพื่อนหมด
คอยปลง ยามเพื่อนแกล้ง คอยแบ่ง ยามเพื่อนหมด
คอยอด ยามเพื่อนทาน คอยคาน ยามเพื่อนล้ม
คอยชม ยามเพื่อนชนะ คอยสละ ยามเพื่อนชอบ
แล้ว "เพื่อน" ในความหมายของคุณล่ะ....เป็นแบบนี้มั๊ย
อย่าลืมให้ความสำคัญกับคนที่คุณเรียกว่า "เพื่อน" นะ
โดยเฉพาะถ้าเค้าคือเพื่อนจริงๆ
โดยเฉพาะถ้าเค้าคือเพื่อนจริงๆ
... เธอทุกข์ - ฉันทุกข์ เธอสุข – ฉันสุข.....
เคล็ดลับเจ๋งๆ ...วิธีขอโทษดีๆ..
1. คิดให้ออกว่าเกิดอะไรขึ้น และเราทำอะไรผิดถึงต้องขอโทษเพื่อน
นั่นนะสิ ลองลำดับเรื่องราวให้ดีว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร ทำไมถึง ต้องลงเอยแบบนี้ เรื่องราวร้ายแรงแค่ไหน เราทำอะไรที่ทำให้ต้องผิดใจ กับเพื่อน เมื่อวิเคราะห์แบบเจาะลึกได้แล้ว จะช่วยให้เราขอโทษ ได้ถูกจุดยิ่งขึ้น
3. เตรียมตัวให้ดี
วิธีเตรียมตัวง่ายๆคือ ฝึกซ้อมหน้ากระจก ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง สีหน้าหรือคำพูดคำจาที่เรา เตรียมเอาไว้ ควรซ้อมพูดไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตื่นเต้น ฟังดูอาจจะตลกแต่ว่าวิธีนี้ได้ผลจริงๆนะ
4. ชี้ให้ชัด
ข้อนี้สำคัญมาก คำพูดที่เราเตรียมไว้นั้น ต้องกระจ่างแจ้งชัดเจน ตรงประเด็น ว่ากันตรงๆไปเลยว่า เราขอโทษและเสียใจ ในกระทำของ เราเพียงใด อย่าใช้คำพูดอ้อมค้อมวกวน เดี๋ยวเพื่อนจะหงุดหงิด ยิ่งกว่าเดิม
5. อย่าแก้ตัว
ห้ามหาข้ออ้างหรือแก้ตัวโดยเด็ดขาด จงยอมรับผิดโดยดุษฎี ไหนๆเราก็ เป็นฝ่ายผิดและต้องการขอโทษเพื่อน เพราะฉะนั้นอย่าแก้ ตัวให้ เหตุการณ ์ยืดเยื้อบานปลายไปยิ่งกว่านี้ ดีไม่ดีอาจจะทำให้โกรธ กันยิ่งกว่าเดิม คราวนี้เลยต่อไม่ติด อาจต้องเลิกคบกันไปเลยก็ได้
6. แบ่งปัน
พูดคัยร่วมแลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เลิกเลี่ยงการตำหนิติเตียน หรือพูดจาเว่อร์ๆ หรือพูดสิ่งที่ไม่ช่วย ให้อะไรดีขึ้นมาได้
7. ฟังอีกฝ่าย
ฟังหรือยอมรับปฏิกิริยาจากอีกฝ่าย ซึ่งก็คือเพื่อนของเรานั่นเอง โดยไม่ป้องกันตัวเอง คือถ้าเพื่อนยังโกรธและระบายออกมา ด้วยการ ต่อว่าเรา ก็จงเงียบยอมรับฟังเพื่อนบ้าง อย่าลืมว่าเราเป็น คนผิดนะ
8. เสนอตัวเอง
ลองถามเพื่อนสิว่า มีหนทางอะไรที่พอจะแก้ไขได้บ้าง เราจะยอมทำทุก อย่างเท่าที่ทำได้เพื่อ ประสานรอยร้าว และทำให้ความสัมพันธ์ ระหว่าง เพื่อน ดีขึ้น แค่เราเอ่ยปากแบบ นี้เพื่อนก็ใจอ่อนขึ้นเยอะแล้ว
เคล็ดลับคือ ทำใจคิดเสียว่าการขอโทษ คือการทำให้ ้ความสัมพันธ์ แน่นแฟ้น ยิ่งขึ้น มิใช่การแสดงความเป็นคนอ่อนแอแต่อย่างใด ที่สำคัญต้องซื่อสัตย์ จริงใจ ขอโทษเฉพาะสิ่งที่เรารู้สึกว่า เป็นความ รับผิดชอบ ของเราจริงๆ อย่าขอโทษพล่อยๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ให้เหตุการณ์ หน้าสิ่วหน้า ขวานผ่านพ้นไปเท่านั้น
เมื่อถึงตอนไปขอโทษก็ควรให้เวลาอีกฝ่ายทำใจบ้าง และควรเข้าใจว่า เขาอาจไม่ ยอมรับใน ตอนแรกเพราะกำลังทำใจอยู่ หากเป็นเช่นนั้น เราอย่าเพิ่งเสียกำลังใจ จงพยายามต่อไป
1. คิดให้ออกว่าเกิดอะไรขึ้น และเราทำอะไรผิดถึงต้องขอโทษเพื่อน
นั่นนะสิ ลองลำดับเรื่องราวให้ดีว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร ทำไมถึง ต้องลงเอยแบบนี้ เรื่องราวร้ายแรงแค่ไหน เราทำอะไรที่ทำให้ต้องผิดใจ กับเพื่อน เมื่อวิเคราะห์แบบเจาะลึกได้แล้ว จะช่วยให้เราขอโทษ ได้ถูกจุดยิ่งขึ้น
2. เขียนลงกระดาษ
เขียนลงไปให้หมดว่าเราต้องขอโทษเพื่อนว่าอย่างไร และเรื่องอะไรบ้าง การกระทำเช่นน ี้จะช่วยให้เราเรียบเรียงความคิดและระงับ ความตื่นเต้น รวมทั้ง ความกลัวต่างๆได
3. เตรียมตัวให้ดี
วิธีเตรียมตัวง่ายๆคือ ฝึกซ้อมหน้ากระจก ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง สีหน้าหรือคำพูดคำจาที่เรา เตรียมเอาไว้ ควรซ้อมพูดไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตื่นเต้น ฟังดูอาจจะตลกแต่ว่าวิธีนี้ได้ผลจริงๆนะ
4. ชี้ให้ชัด
ข้อนี้สำคัญมาก คำพูดที่เราเตรียมไว้นั้น ต้องกระจ่างแจ้งชัดเจน ตรงประเด็น ว่ากันตรงๆไปเลยว่า เราขอโทษและเสียใจ ในกระทำของ เราเพียงใด อย่าใช้คำพูดอ้อมค้อมวกวน เดี๋ยวเพื่อนจะหงุดหงิด ยิ่งกว่าเดิม
5. อย่าแก้ตัว
ห้ามหาข้ออ้างหรือแก้ตัวโดยเด็ดขาด จงยอมรับผิดโดยดุษฎี ไหนๆเราก็ เป็นฝ่ายผิดและต้องการขอโทษเพื่อน เพราะฉะนั้นอย่าแก้ ตัวให้ เหตุการณ ์ยืดเยื้อบานปลายไปยิ่งกว่านี้ ดีไม่ดีอาจจะทำให้โกรธ กันยิ่งกว่าเดิม คราวนี้เลยต่อไม่ติด อาจต้องเลิกคบกันไปเลยก็ได้
6. แบ่งปัน
พูดคัยร่วมแลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เลิกเลี่ยงการตำหนิติเตียน หรือพูดจาเว่อร์ๆ หรือพูดสิ่งที่ไม่ช่วย ให้อะไรดีขึ้นมาได้
7. ฟังอีกฝ่าย
ฟังหรือยอมรับปฏิกิริยาจากอีกฝ่าย ซึ่งก็คือเพื่อนของเรานั่นเอง โดยไม่ป้องกันตัวเอง คือถ้าเพื่อนยังโกรธและระบายออกมา ด้วยการ ต่อว่าเรา ก็จงเงียบยอมรับฟังเพื่อนบ้าง อย่าลืมว่าเราเป็น คนผิดนะ
8. เสนอตัวเอง
ลองถามเพื่อนสิว่า มีหนทางอะไรที่พอจะแก้ไขได้บ้าง เราจะยอมทำทุก อย่างเท่าที่ทำได้เพื่อ ประสานรอยร้าว และทำให้ความสัมพันธ์ ระหว่าง เพื่อน ดีขึ้น แค่เราเอ่ยปากแบบ นี้เพื่อนก็ใจอ่อนขึ้นเยอะแล้ว
เคล็ดลับคือ ทำใจคิดเสียว่าการขอโทษ คือการทำให้ ้ความสัมพันธ์ แน่นแฟ้น ยิ่งขึ้น มิใช่การแสดงความเป็นคนอ่อนแอแต่อย่างใด ที่สำคัญต้องซื่อสัตย์ จริงใจ ขอโทษเฉพาะสิ่งที่เรารู้สึกว่า เป็นความ รับผิดชอบ ของเราจริงๆ อย่าขอโทษพล่อยๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ให้เหตุการณ์ หน้าสิ่วหน้า ขวานผ่านพ้นไปเท่านั้น
เมื่อถึงตอนไปขอโทษก็ควรให้เวลาอีกฝ่ายทำใจบ้าง และควรเข้าใจว่า เขาอาจไม่ ยอมรับใน ตอนแรกเพราะกำลังทำใจอยู่ หากเป็นเช่นนั้น เราอย่าเพิ่งเสียกำลังใจ จงพยายามต่อไป
วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554
กลูต้าไธโอน...ความสวยที่มาพร้อมกับอันตราย
สำหรับคนอยากขาว กลูตาไธโอนช่วยได้...
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อผิวขาว ขาวขึ้นภายใน 1-2 เดือน...
ขาวผ่องอมชมพูเหมือนพริตตี้ ด้วยกลูตาไธโอนเพียว 100%...
อยากผิวสวยเหมือนดารา กลูตาไธโอน ช่วยคุณได้...
ผิวขาวสวยทั่วเรือนร่าง เห็นผลทันตาใน 3 วัน ด้วยกลูตาไธโอนแบบฉีด...
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อผิวขาว ขาวขึ้นภายใน 1-2 เดือน...
ขาวผ่องอมชมพูเหมือนพริตตี้ ด้วยกลูตาไธโอนเพียว 100%...
อยากผิวสวยเหมือนดารา กลูตาไธโอน ช่วยคุณได้...
ผิวขาวสวยทั่วเรือนร่าง เห็นผลทันตาใน 3 วัน ด้วยกลูตาไธโอนแบบฉีด...
ข้อความด้านบน คือ โฆษณาชวนเชื่อที่มีอยู่จริงและมีอยู่มากในเว็บไซต์ ใบปลิว ที่ต่างก็อวดอ้างสรรพคุณสารกลูตาไธโอน หรือที่วัยรุ่นชาวมหาวิทยาลัยเรียกสั้นๆ ว่าสารขาว ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้ผิวขาวนวลผ่องเป็นยองใยเหมือนดารา ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว สารชนิดนี้ถูกคิดค้นมาเพื่อใช้รักษาโรคมะเร็งตับ
ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก กลูตาไธโอน ตกเป็นข่าวครึกโครมมาแล้วครั้งหนึ่งจากกรณีคลินิกเสริมความงามชื่อดังหลายแห่งมีการนำมาใช้และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง กระทั่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกประกาศเตือน ว่า ยังไม่มีการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียน พร้อมทั้งให้ข้อมูลด้วยว่าการฉีดสารดังกล่าวถือว่าเสี่ยงอันตรายมาก เพราะอาจทำให้เกิดการแพ้ยาถึงขั้นช็อกและเสียชีวิต รวมทั้งเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังอีกด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม คือ มีการโฆษณาเหมือนเดิม และมีการใช้เหมือนเดิม
รศ.นพ. นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย หัวหน้าสาขาวิชาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สารกลูตาไธโอน (Glutathione) หรือที่คนทั่วไปเรียกว่าสารขาว เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซี หรือวิตามินอี สารชนิดนี้เป็นสารที่ยับยั้งการทำงานของเม็ดสี ทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยน เม็ดสีที่อยู่ที่ผิวหนังมี 2 ชนิด ได้แก่ ยูเมลานิน เป็นเม็ดสีหลักสำหรับคนเอเชีย หรือ นิโกร มีลักษณะผิวเป็นสีน้ำตาล ดำ และฟีโอเมลานิน จะเป็นเม็ดสีหลักสำหรับผิวฝรั่ง มีลักษณะผิวสีแดง ผมสีบลอนด์ ซึ่งการกินยาหรือฉีดสารกลูตาไธโอน ก็เพื่อต้องการเปลี่ยนเม็ดสียูเมลานินให้เป็นเม็ดสีฟีโอเมลานิน
ทั้งนี้ นอกจากใช้การฉีดแล้ว ยังมีในรูปแบบของอาหารเสริมอีกด้วย แต่มีสารกลูตาไธโอนอยู่ในปริมาณน้อย จึงทำให้ไม่ค่อยได้ผลหรือได้ผลน้อย ซึ่งทำให้ไม่มีผลข้างเคียงมากนัก สำหรับการฉีดเข้าเส้นเพื่อให้ผิวขาวก็เป็นการทำที่ไม่ถาวร เป็นเพียงแค่เปลี่ยนการสร้างเม็ดสีเท่านั้น และอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ นอกจากนี้ ยังมีสารอีกหลายชนิดที่ทำให้ผิวขาวได้ เช่น ไฮโดรควิโนน เป็นยารักษาฝ้า และเป็นยาอันตรายอีกชนิดหนึ่ง เมื่อใช้แล้วทำให้ผิวหน้าดำได้
ส่วนใหญ่จะมีการนำสารกลูตาไธโอนมาใช้ในคลินิก ซึ่งเป็นอันตราย เพราะถ้าฉีดแล้วทำให้เกิดอาการแพ้ หรือถ้ารุนแรงกว่านั้น ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยัน และไม่มีการทำการศึกษาและทำการวิจัยอย่างเป็นระบบ รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็ไม่มีการรับรองการใช้ยากลูตาไธโอน ไม่มีการสนับสนุนทางการแพทย์ เป็นเพียงการรายงานการวิจัยที่ไม่ได้มีการศึกษาเปรียบเทียบ
รศ.นพ. นภดล ยังให้แง่คิดทิ้งท้ายว่า ขอวิงวอนให้แพทย์คำนึงถึงผลข้างเคียงและอันตรายที่จะเกิดกับผู้ป่วยด้วย และสำหรับผู้ป่วยเองนอกจากจะไม่เกิดผลดีต่อร่างกายแล้ว ยังต้องเสียเงินโดยใช่เหตุ การมีผิวคล้ำใช่ว่าจะมีผลเสียเสมอไป แต่กลับมีผลดีด้วยซ้ำ เพราะสามารถป้องกันแสงยูวีได้ ที่สำคัญคนผิวคล้ำเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังน้อยกว่าคนผิวขาว
ที่มาของข้อมูล : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ประจำวันที่ 17 ธันวาคม 2551
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)